โรคกระดูกพรุนจัดเป็นภัยเงียบที่ซ่อนเร้นโดยไม่มีอาการ ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ เมื่อเกิดปัญหากระดูกหักแล้ว จากผลการสำรวจในสตรีไทย พบอุบัติการณ์กระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนส่วนกระดูกคอตะโพก และส่วนกระดูกสันหลังส่วนเอว เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในอายุ 70 ปีขึ้นไป ยิ่งในปัจจุบัน ประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ และคาดการณ์ว่าในปี พ. ศ.
กระดูกตำแหน่งที่สำคัญหัก มีโอกาสหักมากกว่าร้อยละ 20 หรือ 2. กระดูกสะโพก มีโอกาสหักมากกว่าร้อยละ 3 จึงจะพิจารณาในการให้ยาในการรักษาโรคกระดูกพรุน ซึ่งถ้ามีค่าน้อยกว่านี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานยารักษาโรคกระดูกพรุน ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดกระดูกสะโพกหัก หรือกระดูกสันหลังยุบแล้ว ผู้ป่วยเหล่านี้มีความจำเป็นต้องรับการรักษาโรคกระดูกพรุน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด กระดูกหักเพิ่มขึ้นอีก เช่น ในผู้ป่วยที่มีกระดูกสันหลังยุบจากโรคกระดูกพรุน พบว่าถ้าไม่ได้ให้การรักษาที่เหมาะสมจะพบว่าผู้ป่วยมีโอกาสเกิดกระดูกหัก เพิ่มขึ้นอีกประมาณร้อยละ 20 สำหรับปัจจุบัน ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนจะมีอยู่ 2 ประเภทคือ 1. ยาที่ยับยั้งการทำลายกระดูก เช่น - ยาในกลุ่ม Bisphosphonates ที่มีหลากหลายชนิดเช่น ชนิดที่รับประทานอาทิตย์ละ 1 เม็ดเช่น Alendronate (Fosamax plus), Risedronate (Actonel), หรือชนิดที่ฉีดปีละ 1 ครั้งเช่น Zoledronate (Aclasta) - ยา Strontium (Protaxos) มีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำลายกระดูก - ยาในกลุ่มที่เป็นแอนติบอดี้ มีผลยับยั้งการทำลายกระดูกที่ระดับเซลล์ และไม่มีผลต่อไต ได้แก่ Denosumab (Prolia) ซึ่งใช้ฉีดใต้ผิวหนังทุกๆ 6 เดือน สำหรับระยะเวลาในการรักษาโรคกระดูกพรุน แพทย์มักจะแนะนำให้ยาแก่ผู้ป่วยประมาณ 3 - 5 ปี 2.
8. ตรวจเอกซเรย์พบภาวะกระดูกบาง หรือกระดูกสันหลังผิดรูป 9. มีประวัติกระดูกหักแม้เป็นอุบัติเหตุไม่รุนแรงมาแล้ว การรักษาโรคกระดูกพรุน ควรทำควบคู่กันทั้ง 1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และรูปแบบการใช้ชีวิต ได้แก่ • ปรับรูปแบบการใช้ชีวิต เลี่ยงการดื่มชาหรือกาแฟมาก เกินไป เลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา • ระวังการหกล้ม ปรับพื้นกระเบื้องห้องน้ำหรือห้องพัก เป็น ชนิดที่ไม่ลื่น, ปรับให้มีราวจับกันการลื่นล้ม, ออกกำลังกายให้มีกล้ามเนื้อแข็งแรง ช่วยการทรงตัวไม่ให้ล้มได้ง่าย, เลี่ยงการทานยากลุ่มยากล่อมประสาท หรือปรึกษาแพทย์ในการรับประทานและเฝ้าระวัง • ควรรับประทานอาหารที่ให้แคลเซียมสูง เช่น นม น้ำเต้าหู้ ปลา งาดำ เป็นต้น หรือรับประทานแคลเซียมอย่างน้อยวันละ 1, 200-1, 500 มก. และวิตามินดีอย่างน้อยวันละ 600 ยูนิต ซึ่งปรับขนาดตามผลตรวจระดับวิตามินดีในเลือด • ออกกำลังกายแบบลงน้ำหนักเพื่อเสริมความแข็งแรงของกระดูก (weight-bearing exercise) เช่น เต้นแอโรบิก, วิ่งเหยาะ ๆ, เดินขึ้นเนิน/ขึ้นบันได, เต้นรำ เป็นต้น ซึ่งน้ำหนักที่กดลงบนกระดูกจะช่วยกระตุ้นให้เซลล์สร้างกระดูกทำงานในการสร้างมวลกระดูกเพิ่มขึ้น 2. การรักษาด้วยยา ซึ่งยารักษากระดูกพรุน แบ่งตามการทำงานเป็นสองกลุ่มหลัก ๆ คือ • ยาที่ช่วยในการสร้างกระดูก • ยาที่ต้านการสลายกระดูก: ซึ่งมีวิธีบริหารยาที่ต่างกัน ทั้งแบบรับประทาน แบบฉีด การพิจารณาเลือกใช้ยานั้น ขึ้นกับหลายปัจจัย ได้แก่ 2.
ประจำจังหวัด) ครั้งแรกหมอบอกเป็นภาวะกระดูกพรุน ให้ไปตรวจมวลกระดูก และสั่ง fosamax มาให้ ครบ 6 เดือน อาการไม่ด สมาชิกหมายเลข 713033 เป็นโรคกระดูกพรุนตั้งแต่อายุยังน้อย สวัสดีค่ะ อยากปรึกษาเรื่อง เป็นโรคกระดูกพรุน คือเริ่มต้นจากกระดูกหักบ่อยตั้งแต่เด็ก ผ่าตัดมาแล้วหลายครั้ง ใครพอมีวิธีรักษาหรือแนะนำไหมคะ เนื่องจากหนูปัจจุบันขาหักสาเหตุเกิดจากประตูรั้วบ้านล้มทั สมาชิกหมายเลข 3996114 คลับสุขภาพ ระบบโครงกระดูก (Skeletal System) ใครเคยร้องเรียนพยาบาลบ้างคะ ต้องให้หลักฐานประมาณไหน? พยาบาลไร้จรรยาบรรณฉันจะลงโทษเธอ! เรื่องคือว่า ถูกพยาบาลเอาข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลการรักษาไปประจาน โดยการบอกต่อคนอื่น เเล้วให้คนอื่นด่าประจานเราอีกที สาเหตุที่รู้เพราะด่าใส่ทุกวัน หลักๆมีการพูดถึงชนิดยา เเละรู้ด้วยว่าเลิกกินแล้ว สมาชิกหมายเลข 6695804 คณะพยาบาลศาสตร์ งานโรงพยาบาล หน่วยงานของรัฐ ปัญหาสังคม แม่ปวดสะโพก ยืนนานไม่ได้ ก้มนิดนึงก็ปวดเอว น่าจะ เกี่ยวกับหมอนรองกระดูกทับเส้น แม่อายุ 57 อยากไปเปาโล พหลโยธิน อยากทราบรายเอียดค่าใช้จ่ายอะค่ะ ทั้งค่าปรึกษาหมอ ค่ารักษา ผ่าตัด ใครทราบบ้างคะ งบที่ต้องใช้เท่าไหร่ หรือใครมีรพ.
9 เทียบกับร้อยละ 0. 7 และ 2. 5 ตามลำดับ เช่นเดียวกับค่ามวลกระดูกที่สะโพกช่วงต้นและกระดูกสันหลัง แต่เมื่อวัดมวลกระดูกที่ปลายแขนด้านนอกพบว่าการใช้ยาสองชนิดร่วมกันและการใช้ยา danosumab เดี่ยวๆช่วยเพิ่มค่ามวลกระดูก แต่ยา teriperatide กลับลดค่ามวลกระดูก ในด้านกลไกของการใช้ยาสองชนิดร่วมกันทั้งยังไม่ทราบแน่ชัด อาจเกี่ยวข้องกับการที่ยา danosumab ช่วยป้องกันผลการสลายกระดูกจากยา teriparatide (pro-resorptive effect) ในขณะที่ช่วยเพิ่มการสร้างกระดูก อย่างไรก็ตามยังต้องมีการศึกษายืนยันอีกครั้ง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะกระดูกหัก
โปรแกรมฉีดยารักษาโรคกระดูกพรุน Prolia 1 ครั้ง ราคา 14, 400 บาท รวมค่าแพทย์และค่าบริการ 2. สงวนสิทธิ์ราคาดังกล่าวสำหรับคนไทยเท่านั้น 3. ระยะเวลาโปรแกรมตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2564 4. กรุณานัดหมายล่วงหน้าก่อนเข้ารับบริการ สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม โรงพยาบาลเปาโล เกษตร แผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อ โทร. 02 1500 900 ต่อ 5114 Line official account: Paolo Hospital Kaset Line ID: @paolokaset
5 เท่าของ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน จัดว่าเป็นโรคกระดูกพรุน ในวงจรชีวิตของกระดูก จะมีการทำงานของเซลล์สร้างกระดูกและเซลล์สลายกระดูกร่วมกันอย่างสมดุล ในช่วงอายุของการเจริญเติบโต ขบวนการสร้างกระดูกจะมีอัตราการสร้างมากกว่าการสลาย กระดูก เมื่อกระดูกเจริญเต็มที่ การสร้างและการสลายนั้นจะดำเนินต่อไปเพื่อเป็นการรักษากระดูกให้อยู่ในสภาพคงรูป (bone remodeling) ซึ่งสมดุลที่ดีของสองขบวนการนี้จะบ่งถึง "มวลกระดูก" และค่าเฉลี่ย ของมวลกระดูกจะสูงสุดที่อายุ 30 ปี จากนั้นจะค่อย ๆ ลดลง เร็วช้าแตกต่างกันตามพันธุกรรม ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อการลดลงของมวลกระดูกจนเกิดกระดูกพรุนได้นั้น ได้แก่ 1. อายุมากขึ้น หลังอายุ 30 ปี มวลกระดูกจะเริ่มลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเข้าสู่วัยหมดระดูหรือวัยทอง ร่างกายขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้เซลล์สร้างกระดูกทำงานลดลง ในขณะที่เซลล์สลายกระดูกยังทำงานมากขึ้น ส่งผลให้มวลกระดูกลดลง 2. การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน นอกจากในวัยทองแล้ว อาจเกิดการขาดเอสโตรเจนจากการใช้ยาบางประเภท เช่น ยาบางชนิดที่ใช้รักษาโรคในกลุ่มเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่, การผ่าตัดรังไข่ออกทั้งสองข้าง, สตรีที่รังไข่ทำงานล้มเหลวจนเข้าสู่ภาวะวัยทองตั้งแต่อายุยังไม่เกิน 40 ปี 3.
1 ฮอร์โมนทดแทนในสตรีวัยหมดระดู ในกรณีผู้ป่วยกระดูกพรุนที่อายุน้อยกว่า 60 ปี หรือเข้าสู่วัยหมดระดูนานน้อยกว่า10 ปี, ไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำอุดตัน, ไม่มีประวัติมะเร็งเต้านมในครอบครัวหรือผลตรวจเอกซเรย์เต้านมผิดปกติ, มีอาการของวัยหมดระดู เช่น ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกชุ่มตัว นอนไม่หลับ เป็นต้น 2. 2 ยาต้านการสลายกระดูกชนิดรับประทาน มีทั้งชนิดรับประทานทุกวัน, สัปดาห์ละครั้ง และในปัจจุบัน มีชนิดรับประทานเดือนละครั้ง ทำให้ง่ายต่อการรับประทาน เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ตรวจพบกระดูกพรุน หรือสตรีวัยหมดระดูที่มี กระดูกพรุน และอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป หรือเข้าสู่วัยหมดระดูนานมากกว่า 10 ปี ยาชนิดนี้ ควรรับประทานตอนท้องว่าง คือก่อนอาหารเช้าประมาณ 1 ชม. เพื่อการดูดซึมที่ดี แต่ยาจะมีผลข้างเคียงเรื่องการเกิดกรดไหลย้อนได้ จึงแนะนำให้คอยระวังหลังรับประทานแล้วใน 30 นาทีแรก ไม่ควรก้ม หรือนอนเอนหงาย เพื่อป้องกันการเกิดกรดไหลย้อน 2.
อื่น รัก สมาชิกหมายเลข 5477497 อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ พยาบาล